โลโก้เว็บไซต์ มทร.ล้านนา ร่วมกับ ทต.ช้างเผือก ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไข้เลือดออก | ระบบทะเบียนกลาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

มทร.ล้านนา ร่วมกับ ทต.ช้างเผือก ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไข้เลือดออก

เผยแพร่เมื่อ : พุธ 8 กรกฎาคม 2563 โดย วิทยา กวีวิทยาภรณ์ จำนวนผู้เข้าชม 4293 คน

ยังไม่มีคะแนนสำหรับบทความนี้ ผู้อ่านสามารถให้คะแนนบทความได้จากปุ่มข้างใต้

    วันที่ 8 กรกฏาคม 2563 งานส่งเสริมสุขภาพ กองพัฒนานักศึกษา มทร.ล้านนา ร่วมกับ กองสาธารณะสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่  ดำเนินการฉีดพ่นหมอกควันกำจัดยุงลาย (สารเดลต้าเทริน(Deltamethrin) ความเข้มข้น 1% ผสมกับน้ำมันดีเซลในอัตราส่วน 1:80) ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยประกอบด้วยอาคารสำนักงาน ห้องเรียน โรงฝึกปฏิบัติงาน โรงอาหาร ห้องประชุม และอาคารกิจกรรม บ้านพักข้าราชการบุคลากร เพื่อทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและพาหะนำโรคต่างๆ ซึ่งการพ่นหมอกควันเป็นอีกหนึ่งมาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกในช่วงฤดูฝน โดยจะดำเนินการควบคู่กับการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากไข้เลือดออก แก่บุคลากร และนักศึกษา

     สำหรับไข้เลือดออกคือโรคติดเชื้อไวรัสเดงกี่ ที่มียุงลายเป็นพาหะ ในประเทศไทยไวรัสเดงกี่เป็นเชื้อที่ก่อโรค จึงชื่อว่าไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue Haemorrhagic Virus) มีรายงานครั้งแรกใน พ.ศ. 2501  ปัจจุบันไข้เลือดออกเดงกี่พบการติดเชื้อได้ในหลายประเทศ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งยุงลายมี 2 ชนิด ได้แก่ยุงลายสวนและยุงลายบ้าน ที่พบกันบ่อยที่สุดคือยุงลายบ้าน พบในบ้าน บริเวณรอบบ้าน มีหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ Aedes Aegypti เป็นยุงลายเพศเมีย หากินในเวลากลางวัน ชอบวางไข่ในน้ำนิ่งที่ค่อนข้างสะอาด และเชื้อไวรัสจะอยู่ในตัวยุงได้ตลอดชั่วชีวิตของยุงตัวนั้นประมาณ 1-2 เดือน
กลุ่มเสี่ยงโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกมักพบมากในฤดูฝน ช่วงพฤษภาคมถึงกันยายน พบได้ในทั้งหญิงและชาย แต่จะพบมากในช่วงอายุ ดังนี้

  1. เด็กอายุ 5-9 ปี (มากที่สุด)
  2. ช่วงอายุ 10-14 ปี (รองลงมา)
  3. แรกเกิดถึง 4 ปี (รองลงมา)
  4. 15 ปีขึ้นไป (รองลงมา)


อาการของโรคไข้เลือดออก
หลังรับเชื้อไวรัสเดงกี่เข้าสู่ร่างกาย จะใช้เวลาประมาณ 5-8 วัน อาการของโรคจะปรากฏขึ้น โดยแบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้

  1. ไข้สูงลอยนาน 2-7 วัน
  2. มีอาการเลือดออกบ่อย โดยมีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง
  3. ภาวะตับโต สามารถคลำบริเวณใต้ชายโครงขวา และเมื่อกดแล้วจะเจ็บ
  4. ภาวะการไหลเวียนเลือดล้มเหลว และอาจเกิดภาวะช็อค


อาการของผู้ป่วยไข้เลือดออก

  • มีไข้สูงเฉียบพลัน หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย
  • พบเลือดออกตามลำตัว แขน ขา และมีอาการเบื่ออาหาร
  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไม่ดื่มน้ำ ซึม นอนนิ่ง ไม่พูดคุย
  • บางรายอาจมีเลือดกำเดาออก ถ่ายเป็นสีดำ อาเจียนมีเลือดปน และมักไม่แสดงอาการหวัด

    ช่วงอันตรายจะอยู่ช่วงไข้เริ่มลง 2-7 วัน โดยทั่วไปจะพบภาวะช็อค หรือทำให้เสียชีวิตในผู้ป่วยบางราย แต่ทั้งนี้โรคไข้เลือดออกสามารถรักษาได้ผลดีถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เริ่มต้น

ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก
ระดับความรุนแรงของไข้เลือดออกมี 4 ระดับ
ระดับ 1
ไข้สูง แต่ยังจะไม่พบจุดเลือดออก โดยระดับนี้สามารถดูและเบื้องต้นด้วยการเช็ดตัวบ่อยๆ ดื่มน้ำเยอะๆ
ระดับ 2
ระยะนี้ถ้าผู้ป่วยยังสามารถทานอาหาร ดื่มน้ำได้ ยังไม่ต้องมาโรงพยาบาล
(แต่ถ้าทานและดื่มไม่ได้ให้พามานอนโรงพยาบาล เพื่อตรวจและดูแลอย่างใกล้ชิด)
ระดับ 3
พบชีพจรที่เบาและเร็ว มือเท้าเย็น หน้าซีด กระสับกระส่าย นั่นแสดงว่ามีความดันเลือดต่ำมาก ให้รีบพามา
โรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์และตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว
ระดับ 4
แรงดันเลือดตกมาก ไม่สามารถวัดค่าได้ หรือการเกิดภาวะช็อค ซึ่งอาการระดับนี้เกิดขึ้นให้รีบพามาโรงพยาบาลในทันที

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงลายกัด
  • กำจัดหรือลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น แหล่งที่มีน้ำขังนิ่งและสะอาด


การรักษา

  • หมั่นเช็ดตัว ดื่มน้ำบ่อยๆ
  • ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (ห้ามให้แอสไพริน บูเฟน เพราะจะทำให้การทำงานของเกล็ดเลือดเสียไป)
  • ผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลแต่เนื่นๆ จะช่วยลดภาวะ เลือดออก และช็อค ที่แทรกซ้อนได้

(ขอบคุณข้อมูล : กรมควบคุมโรค https://ddc.moph.go.th/ )







ออกแบบและพัฒนาโดย สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

Facebook Messenger icon